วัดราชาธิวาสวิหาร เดิมชื่อ "วัดสมอราย" เป็นวัดเก่าแก่สันนิษฐานว่าสร้างตั้งแต่สมัยกรุงละโว้ หรือก่อนกรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานี โดยไม่มีข้อมูลชัดเจนเรื่องผู้สร้าง แต่หลักฐานจากสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติระบุว่าสร้างเมื่อ พ.ศ. 1820 และผูกพัทธสีมาเมื่อ พ.ศ. 2310 วัดนี้ตั้งอยู่ท่ามกลางป่าธรรมชาติ มีบรรยากาศสงบเหมาะแก่การปฏิบัติธรรมของพระสงฆ์ฝ่ายอรัญวาสี เน้นสมถะและการปฏิบัติตามวินัยอย่างเคร่งครัด อีกทั้งเป็นที่นับถือของประชาชนทั่วไป โดยเฉพาะในด้านวิปัสสนาธุระ ในสมัยต้นกรุงรัตนโกสินทร์ วัดสมอรายเป็นวัดฝ่ายวังหน้าและได้รับการปฏิสังขรณ์หลายครั้ง โดยพระมหากษัตริย์และพระบรมวงศานุวงศ์ เช่น รัชกาลที่ ๑ และรัชกาลที่ ๒ พระภิกษุเจ้าฟ้าหลายพระองค์เคยทรงผนวชและจำพรรษาที่วัดนี้ ซึ่งได้แก่ สมเด็จพระเจ้า ลูกยาเธอเจ้าฟ้ากรมหลวงนรินทร์รณเรศ และเจ้าฟ้ากรมหลวงเทพหริรักษ์ นอกจากนี้พระภิกษุเจ้าฟ้ามงกุฎสมมติฯ ก็ได้ประทับศึกษาและปฏิบัติธรรมที่วัดสมอราย พร้อมตั้งลัทธิธรรมยุติกนิกายเพื่อส่งเสริมความเคร่งครัดในพระวินัย และใช้วัดนี้เป็นศูนย์กลางเผยแพร่แนวคิดแก่พระสงฆ์ฝ่ายมหานิกายด้วย
ทรงแบบขอมคล้ายนครวัด ปฏิสังขรณ์หลายรัชกาล มีเสาพาไลรอบ ประตู 3 ช่อง ภายในมีพระสัมพุทธพรรณีเป็นพระประธาน พร้อมภาพเวสสันดรชาดกครบ 13 กัณฑ์ และเพดานลวดลายดาว
ออกแบบโดยสมเด็จฯ กรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ เมื่อ พ.ศ. 2450 มีรูปแบบศิลปะคล้ายนครวัด พร้อมสะพานนาคข้ามคูน้ำ ถือเป็นพระอุโบสถทรงขอมแห่งเดียวในไทย
องค์ใหม่คือพระสัมพุทธพรรณี หล่อโดยรัชกาลที่ 5 พร้อมเศวตฉัตร 9 ชั้น ส่วนองค์เดิมคือพระสัมพุทธวัฒโนภาส ประดิษฐานในห้องพิเศษด้านหลัง
เล่าเรื่องมหาเวสสันดรชาดก 13 กัณฑ์ เขียนโดยศาสตราจารย์คาร์โล ริโกลี จิตรกรชาวอิตาลีที่เคยร่วมสร้างภาพโดมพระที่นั่งอนันตสมาคม โดยตัวละครมีใบหน้าแบบตะวันตก แปลกตาไม่เหมือนศิลปะไทยทั่วไป
ประดิษฐานพระพุทธรูปหินปางนาคปรกสมัยลพบุรี เป็นพระศักดิ์สิทธิ์ที่ชาวบ้านศรัทธามาก เชื่อว่าขอพรแล้วสัมฤทธิ์ผล ปัจจุบันได้รับการบูรณะอย่างงดงาม
ภายในพระอุโบสถมีการบรรจุพระราชสรีรางคารและเส้นพระเกศาของพระบรมวงศ์ เช่น สมเด็จพระนางเจ้าพระศรีพัชรินทรา, สมเด็จพระศรีสวรินทิรา และสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี
มีพระตำหนักสมเด็จพระพันปีหลวง (พระตำหนักพญาไท) และพระตำหนักรัชกาลที่ 4 อายุกว่า 150 ปี สะท้อนประวัติศาสตร์และความผูกพันกับพระบรมราชวงศ์
เป็นศาลาไม้สักทองที่ใหญ่ที่สุดในเอเชีย เสาแต่ละต้นมีการจารชื่อเป็นตัวละครจากวรรณคดีเรื่องขุนช้างขุนแผน นับเป็นสิ่งก่อสร้างที่ทรงคุณค่าทางศิลปกรรม
ทรงชวาแบบสมัยศรีวิชัย มี 6 ปล้อง ประดิษฐานพระยานิพุทธ รอบเจดีย์มีสิงห์ปูนปั้น 30 ตัว แสดงพระบารมี 30 ทัศน์ของพระพุทธเจ้า
แบบจตุรมุข สร้างรัชกาลที่ 6 เพื่อบรรจุพระสรีรางคารสมเด็จพระปิยมาวดีฯ ภายในมีพระพุทธรูปปางสมาธิ
สร้างรัชกาลที่ 5–6 ทำด้วยไม้สักแบบวัดใหญ่สุวรรณาราม มีตรารัชกาลทั้งหน้าและหลัง ภายในมีธรรมาสน์งดงาม
สร้างถวายรัชกาลที่ 4 เมื่อทรงผนวช เป็นอาคารเก่าแก่ที่สุดของวัด
สร้างจำลองจากพระตำหนักสี่ฤดูในวังสุโขทัย
เดิมเป็นที่ประทับสมเด็จพระศรีพัชรินทราฯ สร้างศิลปะไทยผสมยุโรป ย้ายมาจากพระราชวังพญาไท พ.ศ. 2474
จำลองจากโบสถ์แพกลางน้ำหน้าวัดเดิม สร้างประมาณ พ.ศ. 2466 ด้วยการสมทบทุนของเจ้านายและประชาชน
สร้าง พ.ศ. 2472 เพื่อเจ้าจอมสว่างในรัชกาลที่ 5
พระแท่นศิลาอาสน์จำลองจากพระแท่นมนังคศิลา สร้าง พ.ศ. 2376 หน้าพระตำหนักสี่ฤดู เพื่อใช้ในพระราชพิธีต่าง ๆ
มี 2 ต้นที่วัด นำมาจากศรีลังกาโดยรัชกาลที่ 2 เป็นสัญลักษณ์ของการตรัสรู้และปัญญา
ประเพณีทำบุญสารทเดือนสิบ “วันส่งตายาย" ณ วัดราชาธิวาสวิหาร ประจำปี ๒๕๖๘ เช้าวันนี้ (๒๒ ก.ย.) พระเดชพระคุณ พระพรหมวชิรมงคล เจ้าอาวาสวัดราชาธิวาสวิหาร เป็นประธานสงฆ์ในงานบุญสารทเดือนสิบ (แรม ๑๕ ค่ำ เดือน ๑๐) ประจำปี ๒๕๖๘ โดยมีการแสดงพระธรรมเทศนา โดย พระธรรมกิตติเมธี ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดราชาธิวาสวิหาร จากนั้นคณะสงฆ์สวดมาติกาบังสุกุลอุทิศเปตชน ถวายภัตตาหารพระภิกษุ สามเณร ตั้งร้านเปรตและชิงเปรต ณ ศาลาการเปรียญ วัดราชาธิวาสวิหาร
3 ถนนราชวิถี แขวงดุสิต เขตดุสิต กรุงเทพฯ
02-241-1466
info@raja.ac.th