การบูรณปฏิสังขรณ์ ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้นิมนต์พระอาจารย์ศรี (พระปัญญาพิศาลเถร) ผู้เชี่ยวชาญด้านวิปัสสนาธุระ มาจำพรรษาและทรงปฏิสังขรณ์พระอารามให้อยู่ในสภาพดี ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว กรมพระราชวังบวรมหาศักดิพลเสพทรงปลูกพระตำหนักช่อฟ้าใบระกา 5 ห้อง มีเฉลียงรอบ เคียงคู่กับพระอุโบสถข้างทิศทักษิณ ถวายแด่สมเด็จเจ้าฟ้ามงกุฎไว้เป็นที่ประทับ ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว มีการบูรณปฏิสังขรณ์พระอุโบสถและสิ่งต่าง ๆ เพิ่มเติมต่อจากรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้รื้อสร้างใหม่หมดทั้งวัด ซึ่งเป็นการซ่อมและบูรณปฏิสังขรณ์ครั้งใหญ่ ที่ปรากฏอยู่คือ พระอุโบสถ พระเจดีย์ ศาลาการเปรียญ กุฏิไม้ทาสีแดง หอสวดมนต์ ถนนหิน ลานหิน ภูเขาถมอ เสาหิน เขื่อนคู ถนนผ่ากลางวัด พร้อมทั้งสะพาน นอกจากนั้นทรงหล่อพระสัมพุทธพรรณีประดิษฐานในพระอุโบสถด้วย นอกจากนั้น สมเด็จพระศรีสวรินทิราบรมราชเทวี พระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า ทรงมีพระราชศรัทธาโดยเสด็จพระราชกุศลร่วมการปฏิสังขรณ์วัดด้วย และทรงรับเป็นพระอุปถัมภิกา ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ปฏิสังขรณ์พระอุโบสถ หอไตร ศาลาการเปรียญ สะพานท่าน้ำ กุฏิเจ้าอาวาส กุฎีที่ชำรุด หอสวดมนต์ และให้เขียนภาพเวสสันดรชาดกที่ฝาผนังด้านในพระอุโบสถต่อจากรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว สร้างพระตำหนักสมเด็จพระอัยยิกาและสร้างเขื่อนหน้าวัด ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานให้ย้ายพระตำหนักที่ประทับของสมเด็จพระศรีพัชรินทรา บรมราชินีนาถ จากโรงเรียนวชิราวุธวิทยาลัยมาประดิษฐานไว้ในวัด และสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินี ในพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดให้สร้างกุฏิตึกแถว 3 หลัง ในคณะบน สร้างเขื่อนกั้นน้ำ ครัวไฟ กำแพง ศาลาท่าน้ำ รั้วคอนกรีต และประตูด้านหน้าวัด เป็นต้น ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ บูรณะพระสัมพุทธวัฒโนภาส ฐานชุกชีพระอุโบสถ ศาลาการเปรียญ พระตำหนักพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
การบูรณปฏิสังขรณ์ ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้นิมนต์พระอาจารย์ศรี (พระปัญญาพิศาลเถร) ผู้เชี่ยวชาญด้านวิปัสสนาธุระ มาจำพรรษาและทรงปฏิสังขรณ์พระอารามให้อยู่ในสภาพดี ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว กรมพระราชวังบวรมหาศักดิพลเสพทรงปลูกพระตำหนักช่อฟ้าใบระกา 5 ห้อง มีเฉลียงรอบ เคียงคู่กับพระอุโบสถข้างทิศทักษิณ ถวายแด่สมเด็จเจ้าฟ้ามงกุฎไว้เป็นที่ประทับ ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว มีการบูรณปฏิสังขรณ์พระอุโบสถและสิ่งต่าง ๆ เพิ่มเติมต่อจากรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้รื้อสร้างใหม่หมดทั้งวัด ซึ่งเป็นการซ่อมและบูรณปฏิสังขรณ์ครั้งใหญ่ ที่ปรากฏอยู่คือ พระอุโบสถ พระเจดีย์ ศาลาการเปรียญ กุฏิไม้ทาสีแดง หอสวดมนต์ ถนนหิน ลานหิน ภูเขาถมอ เสาหิน เขื่อนคู ถนนผ่ากลางวัด พร้อมทั้งสะพาน นอกจากนั้นทรงหล่อพระสัมพุทธพรรณีประดิษฐานในพระอุโบสถด้วย นอกจากนั้น สมเด็จพระศรีสวรินทิราบรมราชเทวี พระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า ทรงมีพระราชศรัทธาโดยเสด็จพระราชกุศลร่วมการปฏิสังขรณ์วัดด้วย และทรงรับเป็นพระอุปถัมภิกา ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ปฏิสังขรณ์พระอุโบสถ หอไตร ศาลาการเปรียญ สะพานท่าน้ำ กุฏิเจ้าอาวาส กุฎีที่ชำรุด หอสวดมนต์ และให้เขียนภาพเวสสันดรชาดกที่ฝาผนังด้านในพระอุโบสถต่อจากรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว สร้างพระตำหนักสมเด็จพระอัยยิกาและสร้างเขื่อนหน้าวัด ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานให้ย้ายพระตำหนักที่ประทับของสมเด็จพระศรีพัชรินทรา บรมราชินีนาถ จากโรงเรียนวชิราวุธวิทยาลัยมาประดิษฐานไว้ในวัด และสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินี ในพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดให้สร้างกุฏิตึกแถว 3 หลัง ในคณะบน สร้างเขื่อนกั้นน้ำ ครัวไฟ กำแพง ศาลาท่าน้ำ รั้วคอนกรีต และประตูด้านหน้าวัด เป็นต้น ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ บูรณะพระสัมพุทธวัฒโนภาส ฐานชุกชีพระอุโบสถ ศาลาการเปรียญ พระตำหนักพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
วัดราชาธิวาสวิหาร ตั้งอยู่ในเขตพระนคร กรุงเทพมหานคร เป็นวัดสำคัญที่มีความสวยงามและประวัติศาสตร์ยาวนาน ก่อตั้งขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 4 เพื่อเป็นที่ประดิษฐานพระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์และเป็นศูนย์รวมจิตใจของชุมชน ภายในวัดมีสถาปัตยกรรมที่งดงาม เช่น พระอุโบสถหลังใหญ่ที่มีลวดลายปูนปั้นและภาพจิตรกรรมฝาผนังที่เล่าเรื่องราวทางพุทธศาสนา นอกจากนี้ยังมีพระพุทธรูปสำคัญอย่างพระพุทธรูปปางสมาธิที่เป็นที่เคารพสักการะของพุทธศาสนิกชน
พระอุโบสถ เป็นอาคารคอนกรีตเสริมเหล็กหลังคามุงกระเบื้อง สร้างขึ้นแทนพระอุโบสถหลังเก่าที่ชำรุดทรุดโทรม พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดให้สมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัตติวงศ์ ทรงออกแบบสร้างใหม่โดยรักษาผนังพระอุโบสถเดิมด้านหลังไว้ โดยทรงวางแนวเสา และผนังโบสถ์ใหม่ครอมโบสถ์เก่าไว้ ลักษณะรูปทรงและลวดลายเลียนแบบสถาปัตยกรรมขอมมีเสาพาไลรอบ ภายในพระอุโบสถกั้นเป็น 3 ห้อง ห้องแรกเป็นโถงทางเข้าสู่ห้องกลาง ซึ่งเป็นที่ประดิษฐานพระประธาน ภายใต้พุทธบัลลังก์บรรจุพระบรมราชสรีรังคารของสมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนี พระพันปีหลวง จิตรกรรมฝาผนังในพระอุโบสถเล่าเรื่องพระเวสสันดร ชาดก ทั้ง 13 กัณฑ์ ฝีพระหัตถ์ทรงร่างของสมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัตติวงศ์ผู้เขียนภาพ คือ นายริโกลี ชาวอิตาเลียน เป็นจิตรกรรมอันเป็นวิธีการแบบใหม่ในสมัยนั้น ห้องหลังสุดประดิษฐานพระสัมพุทธวัฒโนภาส พระประธานองค์เดิมของวัดภายใต้พุทธบัลลังก์บรรจุพระบรมราชสรีรังคารของสมเด็จพระศรีสวรินทราบรมราชเทวี พระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า
พระเจดีย์ ทรงชวาในสมัยศรีวิชัย เดิมเป็นพระเจดีย์ที่ รัชกาลที่ ๔ ทรงสร้างขึ้น เป็นแบบมหายาน มีปล้องไฉน ๖ ปล้อง และในสมัยรัชกาลที่ ๕ พ.ศ. ๒๔๕๒ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ปฏิสังขรณ์ขึ้นใหม่ เป็นรูปทรงชวาในสมัยศรีวิชัย ครอบพระเจดีย์องค์เดิมแต่ยังไม่แล้วเสร็จก็สิ้นรัชกาล พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงให้สร้างต่อมา ท่านผู้ควบคุมให้ออกแบบสร้างพระเจดีย์คือ พระเจ้าบรมวงศ์เธอกรมพระนเรศวรฤทธิ์ เมื่อสร้างพระเจดีย์เสร็จแล้วได้ประดิษฐานพระพุทธรูปศิลามหายานสมัยศรีวิชัย คือพระยานิพุทธ ที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงอัญเชิญมาจากพระเจดีย์บุโรพุทโธ ประเทศอินโดนีเซีย มาประดิษฐานอยู่บนซุ้มพระเจดีย์ทั้ง ๔ ทิศ นอกจากนั้นรอบพระเจดีย์ยังประดิษฐานรูปสิงห์ปูนปั้น ๓๐ ตัว โดยรอบพระเจดีย์ เลียนแบบมาจากเจดีย์วัด แม่นางปลื้มและวัดธรรมิกราชที่อยุธยา สิงห์เป็นเครื่องหมายของศากยกษัตริย์ ซึ่งในที่นี้หมายถึง พระบารมี ๓๐ ทัศน์ของพระพุทธเจ้า
(โพธิ์ลังกา) ต้นโพธิ์เป็นสัญลักษณ์ของการตรัสรู้หรือเป็นต้นไม้แห่งปัญญาของพุทธศาสนิกชน ที่วัดราชาธิวาสวิหาร มีที่สำคัญอยู่ ๒ ต้น ตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือและทิศใต้ของพระอุโบสถ เป็นต้นโพธิ์ที่นำมาจากประเทศศรีลังกา พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย รัชกาลที่ ๒ ทรงนำมาปลูกไว้ เรียกว่า "โพธิ์ลังกา"
วิหารพระอัยยิกา
เป็นแบบจตุรมุข หันหน้าสู่ทิศตะวันออก สร้างขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 6 โดยสมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ
ทรงโปรดให้สร้างขึ้นเพื่อทรงพระอนุสรณ์คำนึงถึงพระอัยยิกาอันเป็นพระชนนีของพระองค์ที่พิราลัยแล้ว
จึงทรงสถาปนาอนุสาวรีย์ขึ้นเพื่อบรรจุพระสรีรางคารสมเด็จพระปิยมาวดีศรีพัชรินทรมาตา
ซึ่งเป็นพระราชอัยยิกา (ยาย) ในรัชกาลที่ 6 และรัชกาลที่ 7
และเป็นพระราชปัยยิกา (ย่าทวด) ในรัชกาลปัจจุบัน ภายในวิหารประดิษฐานพระพุทธรูปแบบรัชกาลที่ 6
เป็นพระพุทธรูปปางสมาธิ และภายใต้พุทธบัลลังก์เป็นที่บรรจุพระสรีรังคารสมเด็จพระปิยมาวดีฯ
ศาลาการเปรียญ
สร้างขึ้นในรัชกาลที่ 5 และที่ 6 ทำด้วยไม้สักทั้งหลัง
เลียนแบบมาจากศาลาการเปรียญวัดใหญ่สุวรรณาราม จังหวัดเพชรบุรี
หน้าบันทั้งสองด้านมีตราเป็นเครื่องหมายสำคัญไว้ คือ ด้านหน้าทางแม่น้ำเจ้าพระยามีตราจุลมงกุฎ
คือพระเกี้ยวอันเป็นเครื่องหมายรัชกาลที่ 5 ด้านหลังทิศตะวันออกมีตราวชิราวุธอันเป็นเครื่องหมายรัชกาลที่ 6
ภายในศาลาการเปรียญมีธรรมาสน์สมัยรัตนโกสินทร์อันงดงาม ซึ่งออกแบบโดยสมเด็จกรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์
พระตำหนักพระจอมเกล้าฯ กรมพระราชวังบวรมหาศักดิพลเสพย์
สร้างถวายพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ครั้งยังทรงผนวชและประทับอยู่ที่วัดราชาธิวาสวิหาร
เมื่อ พ.ศ. 2372 เป็นอาคารที่เก่าแก่ที่สุดของวัดนี้
พระตำหนักสี่ฤดู
สร้างขึ้นโดยจำลองชื่อพระตำหนักสี่ฤดูในวังสุโขทัย
พระตำหนักสมเด็จพระพันปีหลวง (พระตำหนักพญาไท)
เดิมเป็นที่ประทับของสมเด็จพระศรีพัชรินทรา พระบรมราชินีนาถ
สร้างด้วยศิลปะไทยผสมยุโรป ได้รับพระราชทานให้ย้ายมาจากพระตำหนักพระราชวังพญาไททั้งหลัง
เมื่อ พ.ศ. 2474 ในสมัยรัชกาลที่ 7
ศาลาโบสถ์แพ
จำลองจากโบสถ์แพกลางน้ำหน้าวัดซึ่งทรุดโทรมไป สร้างเมื่อประมาณ พ.ศ. 2466
พระธรรมวโรดม (อุตตมะ) เป็นเจ้าอาวาส ได้ชักชวนอุบาสก อุบาสิกา
และเจ้านายฝ่ายหน้า-ฝ่ายในสมทบทุนร่วมสร้างขึ้น
กุฏีเจ้าจอมสว่าง
สร้างเมื่อ พ.ศ. 2472 เจ้าจอมสว่างเป็นเจ้าจอมในรัชกาลที่ 5
แท่นพระร่วงจำลอง
คือพระแท่นศิลาอาสน์จำลอง ที่พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงโปรดเกล้าฯ ให้จำลองไว้อยู่ข้างต้นโพธิ์
หน้าพระตำหนักสี่ฤดู เมื่อ พ.ศ. 2376 พระแท่นศิลาอาสน์จำลองนี้จำลองจากพระแท่นมนังคศิลา
สมัยพ่อขุนรามคำแหง โปรดเกล้าฯ ให้สร้างขึ้นไว้กลางดงตาล ชานเมืองสุโขทัย
ซึ่งพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงชะลอมาเมื่อครั้งทรงผนวช
ปัจจุบันพระแท่นมนังคศิลาเก็บรักษาไว้ที่วิหารยอดในวัดพระศรีรัตนศาสดาราม
ในพระบรมมหาราชวัง และใช้สำหรับพระราชพิธีบรมราชาภิเษก
พระสัมพุทธพรรณีเป็นพระประธานในพระอุโบสถของวัดราชาธิวาสวิหาร ซึ่งรัชกาลที่ 5 ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้หล่อขึ้นจากองค์ที่วัดพระศรีรัตนศาสดาราม ซึ่งรัชกาลที่ 4 เป็นผู้สร้าง
ภายในวัดมีพระพุทธรูปสไตล์ชวาที่กระจายตัวกันอยู่ ซึ่งเป็นหนึ่งในจุดเด่นของวัดราชาธิวาสวิหาร
พระสัมพุทธวัฒโนภาส
เป็นพระประธานองค์หลัง นามว่า “พระสัมพุทธวัฒโนภาส” เป็นพระพุทธรูปปางสมาธิ ศิลปะอยุธยา
เป็นพระประธานองค์เดิมในอุโบสถ ในรัชกาลที่ 9 ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ
ให้บรรจุพระบรมราชสรีรางคารสมเด็จพระศรีสวรินทรา บรมราชเทวี พระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า ไว้ใต้ฐานชุกชี
และเมื่อ พ.ศ. 2528 ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้บรรจุเส้นพระเกศาของสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี
พระบรมราชินีในรัชกาลที่ 7 ไว้ด้วย
พระนิรันตราย
ประดิษฐานด้านหน้าของพระสัมพุทธพรรณี (จำลอง) ณ พระอุโบสถวัดราชาธิวาสวิหาร
พระนิรันตรายเป็นพระพุทธรูปหนึ่งในจำนวน 18 องค์ ที่พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดให้สร้าง
สำหรับพระราชทานแด่วัดในสังกัดคณะธรรมยุติกนิกาย จำนวน 18 วัด
เป็นพระพุทธรูปทองคำปางสมาธิเพชร ศิลปะรัตนโกสินทร์ หน้าตักกว้าง 12 เซนติเมตร สูง 22.5 เซนติเมตร
บนฐานสูง 24 เซนติเมตร หล่อขึ้นเมื่อ พ.ศ. 2411
ต่อมาโปรดให้ทำสำเนาจำนวน 18 องค์พระราชทานแก่วัดธรรมยุติแต่ละวัด
ปัจจุบันองค์ดั้งเดิมประดิษฐาน ณ หอพระสุราลัยพิมาน ในพระบรมมหาราชวัง
พระพุทธรูปอู่ทอง ปางห้ามสมุทร
พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้นำประดิษฐานไว้ที่หน้าบันพระอุโบสถด้านหน้า
ผันพระพักตร์ไปทางทิศตะวันตก ในลักษณะห้ามภยันตราย
พระพุทธรูปศิลาแบบมหายาน
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงนำมาจากประเทศอินโดนีเซีย มีจำนวน 4 องค์
ประดิษฐานอยู่ที่ซุ้มพระเจดีย์ทั้ง 4 ทิศ
พระพุทธรูปเชียงแสน
เป็นพระพุทธรูปปางนั่งสมาธิ เป็นพระประธานองค์ใหญ่บนศาลาการเปรียญ
ซึ่งพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 7 ทรงพระราชทานแก่วัดราชาธิวาสวิหาร
พระสันติภาพ
เป็นพระพุทธรูปปางมารวิชัย หล่อขึ้นที่วัดราชาธิวาสวิหาร เมื่อ พ.ศ. 2489
เพื่อเป็นอนุสรณ์แห่งการสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่ 2
สื่อถึงสันติภาพที่หวนกลับคืนสู่โลกอีกครั้งหนึ่ง
พระพุทธรูปสุโขทัย
เป็นพระพุทธรูปปางมารวิชัย ประดิษฐานอยู่ที่หอธรรมสงเคราะห์
ได้รับพระราชทานจากพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว
พระพุทธรูปสมัยลพบุรี (หลวงพ่อนาค)
เป็นพระศิลาปางนาคปรก ศิลปะลพบุรี ถือเป็นพระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์ประจำวัด
พระธรรมวโรดม (เซ่ง อุตตมเถร) ได้อัญเชิญมาจากจังหวัดลพบุรี ในสมัยรัชกาลที่ 6
พระพุทธไสยา
ประดิษฐานอยู่ ณ ห้องประชุมตึกไชยันต์ โรงเรียนวัดราชาธิวาส
สร้างในสมัยรัชกาลที่ 6 โดยสมเด็จกรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ทรงออกแบบ
ลักษณะงามสมจริงแบบมนุษย์ ที่ฐานบรรจุพระสรีรางคารสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ
กรมหมื่นมหิศรราชหฤทัย
พระพุทธรูปสิหิงค์จำลอง
ประดิษฐานอยู่ในศาลาสวัสดิวัตน์
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลปัจจุบัน เสด็จเททองเมื่อวันที่ 28 ตุลาคม พ.ศ. 2514
พระพุทธรูปในวิหารพระอัยยิกา
ลักษณะรูปแบบคล้ายพระพุทธรูปแบบคันธารราฐ
พระบาทสมเด็จพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงสร้างพระพุทธรูปเป็นองค์แทนสมเด็จพระปิยมาวดี
พระอัยยิกาในพระองค์ องค์พระขนาดเท่าคนจริง ประดิษฐานในวิหารพระอัยยิกา คณะใต้
วัดราชาธิวาสวิหาร
3 ซอยสามเสน 9 ถนนสามเสน
แขวงวชิรพยาบาล เขตดุสิต
กรุงเทพมหานคร 10300
02-668-7988
นักศึกษาจากมหาวิทยาลัยราชมงคลพระนคร
คณะเทคโนโลยีมัลติมีเดีย
รายชื่อผู้จัดทำ:
นางสาวสุทัตตา ทรัพย์สิน
นายวสุธรณ์ พุ่มทอง
นายตะวัน เสมขำ
นางสาวจุฑาภรณ์ ฮาวต่อมแก้ว
นายปณิธาน สุวรรณประเสริฐ
นายภูริภัทร์ พันธุระ